27/6/56

มหาปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร


มหาปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร
พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร(ผู้การุณย์)
ผู้(ประกอบ) อยู่ด้วยโลกุตรปัญญาอันลึกซึ้ง
ได้มองเห็นว่า โดยธรรมชาติแท้แล้ว
ขันธ์ห้านั้นว่างเปล่า,
(และด้วยเหตุที่เห็นเช่นนั้น จึง) ได้ก้าวล่วงพ้นจาก
ความทุกข์ทั้งปวงได้
สารีบุตร!
รูปไม่ต่างไปจากความว่าง,
ความว่างก็ไม่ต่างไปจากรูป.
รูปคือความว่างนั่นเอง,
(และ) ความว่างก็คือรูปนั่นเอง.
เวทนา, สัญญา, ก็เป็นดังนี้ด้วย
สังขาร,และวิญญาณ
ก็เป็นดังนี้ด้วย
สารีบุตร!
ธรรมทั้งหลาย(สิ่งทั้งหลายทั้งปวง)
มีธรรมชาติแห่งความว่าง(กล่าวคือ):
พวกมันไม่ได้เกิดขึ้นและไม่ได้ดับลง,
พวกมันไม่ได้สะอาดและไม่ได้สกปรก,
ดังนั้น,ในความว่างจึงไม่มีรูป,
ไม่มีเวทนาหรือสัญญา,
ไม่มีสังขารหรือวิญญาณ;
ไม่มีตาหรือหู,ไม่มีจมูกหรือลิ้น,
ไม่มีกายหรือจิต(ใจ);
ไม่มีรูปหรือเสียง,ไม่มีกลิ่นหรือรส,
ไม่มีโผฏฐัพพะ(สิ่งที่มาถูกต้องกาย) หรือธรรมารมณ์(อารมณ์ที่เกิดกับใจ).
ไม่มีโลกแห่ง(ผัสสะคือ)อายตนะ(ภายใน)
(อายตนะภายนอก) หรือวิญญาณ.
ไม่มีอวิชชา,
และไม่มีความดับลงแห่งอวิชชา;
ไม่มี(กระแสแห่งเหตุปัจจัยที่นำไปสู่)
ความแก่และความตาย,
และไม่มีความดับลงซึ่งความแก่และความตาย.
ไม่มีความทุกข์
และไม่มีต้นเหตุ(แห่งความทุกข์);
ไม่มีความดับลง(แห่งความทุกข์)
และไม่มีมรรค(ทางให้ถึงซึ่งความดับลงแห่งความทุกข์)
ไม่มีการประจักษ์แจ้งและไม่มีการลุถึง,
เพราะไม่มีอะไรที่จะต้องถูกลุถึง
พระโพธิสัตว์
ผู้วางใจในโลกุตรปัญญา,
จะมีจิตที่เป็นอิสระจากอุปสรรคสิ่งกีดกั้นนานา
(และ)เพราะจิตของพระองค์เป็นอิสระจากอุปสรรค
สิ่งกีดกั้นนานา,
พระองค์จึงไม่มีความกลัวใดๆ;
(สามารถก้าวล่วงพ้นไปจากมายาหรือสิ่งลวงตาทั้งมวลได้,
(และ)ลุถึงพระนิพพานได้ในที่สุด
พระพุทธะในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคตทั้งหมด
ผู้ทรงวางใจในโลกุตรปัญญา
ได้ประจักษ์แจ้งแล้วซึ่งภาวะอันตื่นขึ้นนั้น,
(อันเป็นภาวะ)ที่สมบูรณ์และไม่มีใดอื่นยิ่งกว่า
ดังนั้น,จงรู้ไว้เถิดว่า โลกุตรปัญญา
เป็นมหามนตร์อันศักดิ์สิทธิ์,
เป็นมนตร์แห่งความรู้อันยิ่งใหญ่,
เป็นมนตร์อันไม่มีมนตร์อื่นยิ่งกว่า,
เป็นมนตร์อันไม่มีมนตร์อื่นใดมาเทียบได้,
ซึ่งจะตัดเสียซึ่งความทุกข์ทั้งปวง
นี่เป็นสัจจะ(ความจริง)
(และ)เป็นอิสระจากความเท็จ(ทั้งมวล)
ดังนั้น จงท่องบ่นมนตร์แห่งโลกุตรปัญญา
ดังนี้(ว่า):
คะเต คะเต ปาระคะเต ปาระสังคะเต โพธิ
(ไป ไป ไปยังฟากฝั่งโน้นไปให้พ้นอย่างสิ้นเชิง!
ความตรัสรู้! สวาหะ (ความเบิกบาน))


ยาสมานจิต



ยาสมานจิตของพระอาจารย์ไร้ขอบเขต (อู๋จี๋)
มีความอดกลั้น             1 ชิ้น
มีจิตเมตตา กรุณา          1 ชิ้น
มีความอ่อนน้อม ถ่อมตน    1/2ตำลึง
มีเหตุผล                  3 ขีด
มีสัจจะ                    ขาดไม่ได้
มีความยุติธรรม             1 ชิ้น
มีความกตัญญู               10 ส่วน
มีความซื่อสัตย์              1 อัน
สร้างผลบุญและกุศล         มีเต็มที่
ให้ความสะดวก              ไม่จำกัดจำนวน
อาจารย์กล่าวไว้ว่า “ผู้ ใดก็ตาม หากต้องการปกครองประเทศให้เจริญรุ่งเรือง 
มีครอบครัวที่สุขสันต์ หรือจะบำเพ็ญธรรมให้บรรลุผล ควรรับประทานยาสมานจิต
 ซึ่งประกอบด้วยตัวยา 10 อย่างข้างต้น จึงจะเกิดผล”
“ยาขนานนี้เหมาะกับฟ้าดิน ถ้ารับประทานบ่อย ๆ ไม่ต้องพึ่งพาแพทย์ใด ๆ 

ขอให้อุบาสก อุบาสิกา ทุกผู้นามจงอย่าได้รีรอสงสัย”
วิธีใช้
ใช้จิตว่างฝัด ไม่รีบร้อน ไม่โมหะ ให้อารมณ์ลดลง 30% บดให้ละเอียดจนเป็นผงในกะละมังยุติธรรม และควรไตร่ตรอง 3 ครั้ง ใช้น้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลอน รับประทานวันละ 3 ครั้ง

 เวลาใดก็ได้ แต่ต้องทานด้วยอารมณ์เยือกเย็น ถ้ารับประทานประจำ
 ร่างกายจะแข็งแรงสมบูรณ์
ข้อห้าม
อย่า พูดอย่างทำอย่าง อย่าเป็นคนเห็นแก่ตัว อย่าลอบกัดคนข้างหลัง อย่ามีจิตปองร้าย 

อย่าแอบแฝงแผนชั่ว อย่ายุยงปอปั้น อย่ากุเรื่องให้วุ่นวาย (อย่าปั้นน้ำเป็นตัว)
 เจ็ดข้อข้างต้นควรรับละทิ้ง
อานิสงส์
ยา 10 อย่างนี้ ถ้าใช้ทั้งหมด จะอายุมั่นขวัญยืนบรรลุพระโพธิสัตว์ ถ้าใช้แค่ 4-5 อย่าง 

ก็สามารถลดโทษเพิ่มอายุ หากไม่ใช้สักอย่าง จะประสบเคราะห์กรรม ถึงแม้จะมีแพทย์เทวา
 ก็ยากที่จะเยียวยาได้

หนึ่ง จิตตั้งมั่น



หนึ่ง จิตตั้งมั่นศรัทธาพาควรคิด
สอง เท้าย่างหว่างทุกทิศพิศใดเห็น
สาม ภพชาติเกิดมาพาให้เป็น
สี่ ปัจจัยไม่ลำเค็ญเห็นครบครัน
ห้า นิ้วชัดมีสั้นยาวล้วนไม่เท่า
หก อายตะนะในตัวเราอย่าหุนหัน
เจ็ด อารมณ์บ่มเพาะให้เท่าทัน
แปด โลกธรรมอย่าหวาดหวั่นให้มั่นคง
เก้า สวรรค์ชั้นฟ้ากี่คนถึง
สิบ มรรคาพาคำนึงจึงเหมาะสม หนึ่งถึงสิบเพียงหยิบมือรู้ทันตน

ทดสอบเคี่ยวกรำ

ทดสอบเคี่ยวกรำ
เจอทุกข์ก็จะเจอธรรม                          หากเจอแต่สุข มิอาจที่จะรู้ธรรมได้
เพราะฉะนั้นเราเกิดมา                         เราจะต้องถูกเคี่ยวกรำ จะต้องเจอขวากหนาม
อุปสรรคทั้งหลายมาเคี่ยวกรำ                 ให้ตัวเราได้เจอพระธรรม ได้เปิดปัญญา
ได้เป็นบุคคลที่ได้ชื่อว่า                         รู้แจ้งในพระธรรม
ในความทุกข์ขมนั้นจงค้นหาสิ่งที่หวาน       แม้มันจะมีน้อยเสียเหลือเกินแต่จงพอใจกับมัน
กับชีวิตที่เป็นทุกข์                              แต่มีความสุขเจือปนอยู่นิรันดร
เจ้าจะต้องไม่หวั่น                               ต่อหนทางที่ลำบากตรากตรำ
เชือกเส้นหนึ่งมีปมเดียว                        ยังสามารถหาทางแก้ไขได้
หากเพิ่มขึ้นมาอีกปมหนึ่ง                      อุปสรรคก็เพิ่มมากขึ้น
หกหมื่นกว่าปีแล้ว                               หลายคนอยู่รวมกันมาชนกัน ผสานกัน
ผูกแน่นเข้าไป เข้าไปอีก                        ทับถมกันเมื่อไหร่จะเป็นเส้นเดียวกันได้
ถ้าหากว่าไม่เร่งแก้ปม                           ในจิตใจของตนเองเสียก่อน
จะรอให้ผู้อื่นมาช่วยแก้ไขให้คงยาก......        ผู้ขาดความศรัทธาจะเกิดการทดสอบยิ่งให้ต้องล้ม
ไม่มั่นคงยิ่งจะมีแรงดึงดูดให้พลิกคว่ำ           หากเจ้ามีจิตในการบำเพ็ญธรรมมาก
มารทดสอบก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น                       หากการทดสอบเพียงเล็กน้อย
เจ้ายังไม่สามารถฟันฝ่าไปได้                     แล้วต่อไป มารทดสอบที่ยิ่งใหญ่เข้ามา
พวกเจ้าจะสามารถรับไหวได้อย่างไรกัน        การบำเพ็ญธรรมแม้ล้มลุกคลุกคลานก็ขอให้ก้าวหน้า
ถึงแม้จะซัดเซพเนจร                              ก็อย่าให้ใจธรรมนี้สั่นคลอน
แม้จะพ่ายแพ้ต่อทุกคนแต่อย่าแพ้ใจตนเอง      ในโลกนี้มีหนทางมากมายให้เราเลือกเดิน
บ้างก็เลือกเดินบนหนทางที่ราบรื่น               สุขสบาย โรยด้วยกลีบกุหลาบ
แต่มันยาวไกลออกไป                              แต่ไม่ว่าคนเลือกเดินหนทางสายไหนก็ตาม
จุดมุ่งหมายก็คือสิ่งเดียวกัน                       อยู่ที่ความสามารถของแต่ละคน
อุปสรรค คือ ครู                                    ครูชั้นยอดที่สอนให้เราก้าวหน้า
จะยิ่งทำให้เรายิ่งเกิดปัญญา                      ถ้าหากจิตภายในของศิษย์เข้มแข็ง
มารภายนอกอาจกล้ำกลายได้                    แต่ถ้าหากมารภายในจิตของศิษย์
คุกคามตัวศิษย์เองอันนี้....                        ..ก็พูดยากเหมือนกัน..
มารเกิดจากคนพระเกิดจากคน                   ในคนๆหนึ่งจะสามารถเป็นได้ทั้งพระ และ มาร
ในช่วงพริบตาเดียวใจครึ่งหนึ่งเป็นพระ           ใจครึ่งหนึ่งเป็นมารนั้น ยังเป็นปุถุชน
ใจครึ่งใหญ่เป็นพระ ใจครึ่งใหญ่เป็นมาร         นั่นคือผู้ที่เริ่มเข้าใจในหลักธรรม
ใจทั้งหมดเป็นพระไม่มีเลยซึ่งเป็นมาร           นั่นคือใจแห่งพุทธะ
เมื่อเจอทดสอบเจ้าบอกว่า                         “ศิษย์ไร้ซึ่งปัญญาไร้ซึ่งความสามารถที่แก้ไข
ก็ในเมื่อหัวสมองของเจ้าได้รับสัจธรรม           เจ้าจะเอาปัญหานั้นมาจากที่ไหน?....
คำหวานหูมิใช่จะอยู่ได้นาน                        คำไม่ไพเราะทั้งหลายต่างหากที่จะ
ช่วยให้ศิษย์เติบโตมาได้ในสถานการณ์ที่เลวร้าย   คำพูดเพียงเล็กน้อยอาจจะ
สร้างสรรค์ให้คนๆหนึ่งเป็นพุทธะก็ได้         และตรงกันข้ามกันอาจส่งเสริมให้เขากลายเป็นมารไปก็ได้
ประสบการณ์ทุกครั้งที่ผ่านมา                    จะเป็นความสำเร็จในภายภาคหน้าของผลงานชิ้นต่อไป
เรื่องราวต่างๆศิษย์ทำได้ เริ่มจากใจ             ใจเป็นพระยิ่งใหญ่ จะเป็นมารก็จากใจอีก
อยู่ที่ว่าศิษย์จะเลือกเป็นเช่นไร                   ผลไม้จะออกดอกได้ผลต้องมีแมลงรบกวน
การบำเพ็ญธรรมจะได้มรรคผล                   จะต้องผ่านอุปสรรคอย่าได้กลัว

 พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ปณิธานใจ



ปณิธานใจ

การชวนคนมารับธรรมะนั้น                               แม้เขาจะไม่มาก็ไม่เป็นไร
แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ                                      เราต้องหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งพุทธะไปทั่ว..  
แนวหน้าร่วมกำลัง                                         แนวหลังต้องร่วมประสาน
การสูญเสียไม่อาจทำให้ปณิธาน                          ของผู้ที่มีความมั่นคงล้มเลิกลงได้
ปณิธานที่ตั้งไว้ ไม่ใช่ตั้งวันนี้ พรุ่งนี้ก็ลืมเลือน           ยิ่งนานวัน ยิ่งหายหน้าหายตา       
เท่ากับศิษย์ได้หลอกลวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์                    หลอกลวงจิตสำนึกที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในตัวเอง
เสาไม่แกร่งพอไม่สามารถแบกรับน้ำหนักได้            คานไม่มั่นคงพอไม่สามารถแบกรับงานใหญ่ได้
หัวหน้าไม่มั่นคงพอไม่อาจเป็นหัวหน้าได้                ชายไม่อดทนพอไม่สามารถเป็นชายได้
หนทางอริยะ เริ่มจากไหนใครเป็นผู้สร้าง                ความเป็นพุทธะ เริ่มจากไหน
ตอนนี้เจ้าเป็นมนุษย์                                        แล้วต่อไปจะเลือกเป็นอะไร
ทุกคนต่างก็เป็นพี่น้องทั้งพี่น้องร่วมโลก                  และพี่น้องในสายใย
แต่นับแล้วต่างก็คือพี่น้องด้วยกันทั้งนั้น                  เพียงแต่แยกย้ายจากกันไป
จนลืมบ้านเดิมของตนเอง..                                อย่าไปสนใจว่าผู้อื่นจะปฏิบัติต่อเราอย่างไร
แต่สิ่งที่เราจะต้องสนใจ ก็คือ                               เราจะต้องปฏิบัติต่อผู้อื่นได้สมบูรณ์หรือไม่ ต่างหาก
ในขณะที่เราเต็มที่กับงานธรรมะ                          เราคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์
เมื่อเกิดจิตใจที่กระตือรือร้น                                ที่จะฝึกฝนช่วยงานอาจารย์แล้ว
ล้วนแต่เป็นจิตใจของพระโพธิสัตว์ ทั้งสิ้น                 ขอให้หนึ่งใจนี้ตั้งในไว้ไม่หวั่นไหว
หนึ่งใจนี้ก็จะได้บรรลุธรรมอย่างแน่นอน                   เมื่อสงบลงจงกระทำการสำรวจตรวจตราจิตใจตน
เมื่อมีการเคลื่อนไหวให้นำพาฉุดช่วยเหล่าเวไนย         กาลเวลาคับขันหากยังรีรอสงสัย
ไม่เพียงแต่เจ้าจะยังมืดมนอยู่                               แต่จะนำพาคนรอบข้างและบรรพบุรุษ
ให้ตกต่ำลงไปด้วย                                           ยาวนานเท่าใดกับเวลาที่เปลี่ยนผันไป
กับใจคนที่เปลี่ยนแปลงกับน้ำตาที่หลั่งไหล                ผ่านร้อน ผ่านหนาวผ่านทุกสิ่งมาในชีวิตนี้
จะหาอะไรมาเป็นหลักประกันที่แน่นอน                    แม้แต่ลมหายใจ
มันเคยบอกไหมว่า                                           มันจะหมดเมื่อไหร่

 พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง