11/7/56

นิทานเซ็น แบกหนามขอขมา





นิทานเซ็น แบกหนามขอขมา


นิทานเซ็น แบกหนามขอขมา
ฟู่จิงฉิ่งจุ้ย 负荆请罪 : แบกหนามขอขมา
ในสมัยสงครามระหว่างรัฐ (จั้นกั๋ว) ซึ่งบ้านเมืองแบ่งออกเป็นรัฐต่าง ๆ 7 รัฐ ประกอบด้วย รัฐฉี รัฐฉู่ รัฐเอียน รัฐหาน รัฐเจ้า รัฐเว่ย และรัฐฉิน โดยในบรรดา 7 รัฐนี้ นับว่ารัฐฉินกล้าแข็งที่สุด ทำให้รัฐฉินมักจะข่มเหงรัฐเจ้าอยู่เสมอ ครั้งหนึ่ง อ๋องรัฐเจ้าส่งขุนนางชั้นสูงในปกครองผู้หนึ่ง นามว่า ลิ่นเซียงหยู ไปยังรัฐฉินเพื่อเจรจาต่อรอง เมื่อลิ่นเซียงหยูได้เข้าเฝ้าอ๋องรัฐฉิน ก็ได้อาศัยสติปัญญาและความกล้าหาญเป็นหน้าเป็นตาให้กับอ๋องรัฐเจ้าได้มากโข เมื่ออ๋องรัฐฉินเห็นว่ารัฐเจ้ามีคนเก่งกล้าเช่นนี้ในปกครอง จึงไม่กล้าดูแคลนรัฐเจ้าอีกต่อไป
อ๋องรัฐเจ้าเห็นว่าลิ่นเซียงหยูทำความดีความชอบครั้งใหญ่ จึงได้เลื่อนตำแหน่งให้เป็นผู้ว่าการรัฐ และภายหลังได้เป็นเสนาบดีในที่สุด (เทียบเท่าตำแหน่งอัครเสนาบดีในยุคหลัง)
การที่อ๋องรัฐเจ้าให้ความสำคัญกับลิ่นเซียงหยูถึงเพียงนี้ กลับเป็นการสุมเพลิงพิโรธให้กับแม่ทัพรัฐเจ้า นามว่าเหลียนโพว ซึ่งเขาเฝ้าคิดว่า ข้านั้นเสี่ยงชีวิตในสงครามเพื่อรัฐเจ้าถึงเพียงนี้ ความดีความชอบเทียบไม่ได้กับลิ่นเซียงหยูเชียวหรือ? ลิ่นเซียงหยูอาศัยเพียงลมปาก ไร้ความสามารถอื่นใด กับดำรงตำแหน่งสูงกว่าข้า หากข้าพบหน้าลิ่นเซียงหยูที่ไหน จะทำให้มันได้อับอายขายหน้าที่นั่น ดูซิว่ามันจะทำอันใดข้าได้!
ความของเหลียนโพวครั้งนี้ ได้ล่วงรู้ถึงหูลิ่นเซียงหยู เขาจึงรีบกำชับคนในบังคับบัญชาทุกคนว่าหากคราใดบังเอิญได้พบกับลูกน้องของ เหลียนโพว ก็ขอให้ยอมลงให้คนเหล่านั้นเสีย อย่าให้มีเรื่องมีราวต่อกัน จากนั้นนาน ตัวเขาเองได้นั่งเกี้ยวออกจากบ้านหากได้ยินว่า เหลียนโพวอยู่ในบริเวณนั้น ก็จะรีบสั่งให้แบกเกี้ยวหลบไปก่อน รอจนเหลียนโพวจากไปค่อยเดินทางต่อ
ฝ่ายผู้ใต้บังคับบัญชาของเหลียนโพว เมื่อเห็นศัตรูของเจ้านายยอมหลีกทางให้เจ้านายตนถึงเพียงนี้ ก็ได้นึกลำพองใจอย่างยิ่ง เมื่อได้พบหน้ากับลูกน้องของลิ่นเซียงหยูคราใด ก็จะพากันหัวเราะเยาะเย้ย ทำให้ลูกน้องของลิ่นเซียงหยูหมดความอดทน ถึงได้เอ่ยถามผู้เป็นนายว่า ตำแหน่งของท่านนั้นนับว่าสูงกว่าแม่ทัพเหลียน เขาด่าว่าท่าน เหตุใดท่านจึงเอาแต่หลบหลีก ยอมลงให้เขา ยิ่งทำให้เขาดูถูก หากเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกข้าน้อยก็คงทนไม่ได้เช่นกัน
ลิ่นเซียงหยูเอ่ยชี้แจงด้วยอาการสงบว่า เทียบกันแล้ว แม่ทัพเหลียนกับอ๋องรัฐฉิน ผู้ใดน่าเกรงกลัวกว่ากัน?” ทุกคนต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ย่อมเป็นอ๋องรัฐฉินลิ่นเซียงหยูจึงกล่าวสืบไปว่า เช่นนั้นก็ถูกแล้ว แม้แต่อ๋องรัฐฉิน ข้ายังไม่กลัว เหตุใดข้าต้องกลัวแม่ทัพเหลียน แต่เจ้าต้องเข้าใจว่า ในเวลานี้ ที่อ๋องรัฐฉินยอมรามือไม่เข้าโจมตีรัฐเจ้า ก็เพราะเกรงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของขุนนางทั้งฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋นภายใน รัฐเรา ข้าและแม่ทัพเหลียนเปรียบไปก็เหมือนเสือ 2 ตัว หากกัดกัน ไม่แคล้วตัวใดตัวหนึ่งต้องเจ็บหนักหรืออาจถึงขั้นเสียชีวิต กลายเป็นการเปิดโอกาสให้รัฐฉินเปิดฉากโจมตีได้ พวกเจ้าลองคิดดู ว่าเรื่องของประเทศชาติหรือเรื่องส่วนตัวสำคัญกว่ากัน
เมื่อเหล่าลูกน้องได้ฟังคำชี้แจงก็รู้สึกตื้นตันใจเป็นอันมาก จากนั้นคราใดบังเอิญได้พบกับกลุ่มของแม่ทัพเหลียนโพว ก็จะพยายามหลบลี้หลีกทางให้ตลอดมา
ความของลิ่นเซียงหยู สุดท้ายก็ไปเข้าหูของแม่ทัพเหลียนโพวเช่นกัน ทำให้แม่ทัพเหลียนเกิดความละอายใจยิ่งนัก ถึงขั้นถอดเสื้อออกทั้งยังแบกกิ่งไม้ที่เต็มไปด้วยหนาม เดินทางไปบ้านของลิ่นเซียงหยู เมื่อพบหน้าเขาจึงคุกเข่าลง ที่หลังยังคงแบกกิ่งหนาม และร้องขอให้ลิ่นเซียงหยูโบยตี แต่ลิ่นเซียงหยูกลับดึงกิ่งไม้เหล่านั้นทิ้งไปสิ้น ประคองแม่ทัพเหลียนลุกขึ้นพร้อมทั้งหาเสื้อผ้าให้สวมใส่เป็นอย่างดี ภายหลังทั้งสองกลายเป็นสหายร่วมรบ ผู้หนึ่งบู๊ ผู้หนึ่งบุ๋น ร่วมแรงกันปกป้องบ้านเมือง
ต่อมา ฟู่จิงฉิ่งจุ้ยหรือ แบกหนามขอขมากลายมาเป็นสำนวน แปลว่า ยอมรับความผิดของตนเองโดยไร้ข้อโต้แย้ง และกล่าวขอโทษด้วยความจริงใจ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น