นิทานเซ็น เซี่ยงจวงรำดาบ เจตจำนงอยู่ที่เพ่ยกง
นิทานเซ็น เซี่ยงจวงรำดาบ เจตจำนงอยู่ที่เพ่ยกง
ในยุคปลายของราชวงศ์ฉิน (221-202 ปี
ก่อนคริสต์ศักราช) หลิวปังและเซี่ยงอี่ว์ (ฌ้อปาอ๋อง)
ซึ่งเป็นแกนนำในการต่อต้านราชวงศ์ฉิน ต่างยกกองทัพเข้าโจมตีนครเสียนหยาง (เมืองหลวงของราชวงศ์ฉิน
ปัจจุบันอยู่ในมณฑลส่านซี ใกล้กับเมืองซีอาน) ฉู่หวยหวังผู้นำในการก่อกบฎให้คำมั่นสัญญากับ
หลิวปังและเซี่ยงอี่ว์ว่า หากผู้ใดสามารถรุกเข้าเมืองหลวงฉินได้ก่อนก็จะได้ครองตำแหน่งฮ่องเต้องค์ถัด
ไป
ปี 207 ก่อนคริสต์ศักราช เซี่ยงอี่ว์ได้ชัยเหนือกองทัพใหญ่ของราชวงศ์ฉินที่เมืองจี้ว์ลู่
ขณะที่หลิวปังสามารถนำกองทัพบุกเข้ากุมสถานการณ์ในเมืองเสียนหยางได้ก่อน อย่างไรก็ตาม
หลิวปังกลับไม่ได้รีบสถาปนาตนเองขึ้นเป็นฮ่องเต้ โดยจัดวางกองกำลังคุมเชิง
และปิดล้อมสถานที่สำคัญต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นพระราชวังและท้องพระคลังของราชวงศ์ฉินเอาไว้
เซี่ยงอี่ว์เมื่อได้ยินข่าวว่าหลิวปังสามารถบุกเข้าเมืองเสียนหยางได้
ก่อน ด้วยความที่เป็นขุนศึกที่มีนิสัยใจคอเย่อหยิ่ง จองหองก็รู้สึกโมโหโกรธาเป็นอย่างยิ่ง
โดยให้สัตย์สาบานไว้ว่าเมื่อยกทัพถึงเมืองเสียนหยางจะต้องจัดการกับหลิวปัง ให้จงได้
ขณะที่ฟ่านเจิง เสนาบดีของเซี่ยงอี่ว์ก็ให้คำแนะนำเช่นเดียวกันว่า “กาลก่อนหลิวปังเป็นคนโลภมาก เจ้าชู้ ทว่า ภายหลังจากบุกตีเข้าเมืองเสียนหยางสำเร็จแล้ว
เขากลับไม่สนใจทรัพย์สินเงินทอง หญิงงามก็ไม่เหลียวแลเช่นกาลก่อน แสดงว่าหลิวปังมองการณ์ไกลหวังจะก้าวขึ้นเป็นใหญ่
เราควรต้องอาศัยโอกาสนี้กำจัดหลิวปังเสียก่อน”
ในเชิงการรบทัพจับศึกเป็นที่ทราบกันดีว่าฝีมือของหลิวปังนั้นมิอาจเทียบ
ได้กับเซี่ยงอี่ว์ อีกทั้งกำลังทหารก็ห่างกันหลายขุม ดังนั้นหลิวปังได้ทราบข่าวว่าเซี่ยงอี่ว์ต้องการจะยกกำลังทหารกว่า
4 แสนเข้ามาจัดการกับตนก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
จึงปรึกษากับเสนาธิการและได้ข้อสรุปว่า เมื่อเซี่ยงอี่ว์นำทัพมาถึงตำบลหงเหมิน ตนก็จะเข้าพบเพื่อหารือกับเซี่ยงอี่ว์เพื่อคลี่คลายสถานการณ์และปรับความ
เข้าใจ
ต่อมา หลิวปังจึงได้นำจางเหลียงและนายพลฝานไคว่เดินทางไปถึงตำบลหงเหมิน
เพื่อพบปะกับเซี่ยงอี่ว์ในงานเลี้ยงที่เซี่ยงอี่ว์เลี้ยงต้อนรับและขุดหลุม พรางเอาไว้
(งานเลี้ยงดังกล่าวถูกจดจารึกไว้ในประวัติศาสตร์จีนในชื่อ “งานเลี้ยงที่หงเหมิน”) เมื่อได้พบหน้ากันหลิวปังก็พยายามแก้ตัวว่า
กองทัพของตนไม่ได้บุกเข้าไปในตัวเมืองเสียนหยาง เพียงแต่สั่งให้กำลังเข้าดูแลบริเวณชานเมืองเท่านั้นเพื่อรอคอยเซี่ยงอี่ว์
ให้เดินทางมาครองตำแหน่งฮ่องเต้ เมื่อได้ยินดังนั้นเซี่ยงอี่ว์ก็เกิดความลังเลและไม่ได้ส่งสัญญาณให้มือ
สังหารที่ซุ่มอยู่ลงมือจัดการจับหลิวปังดังที่ได้เตรียมการเอาไว้
ด้านฟ่านเจิง เสนาบดีของเซี่ยงอี่ว์เมื่อเห็นเจ้านายของตนเองเกิดอาการลังเล
โดยแม้จะมีการสะกิดเตือนให้เซี่ยงอี่ว์ลงมือฆ่าหลิวปังเสียก็ไม่เป็นผล จึงสั่งการให้นายพลเซี่ยงจวง
แสร้งแสดงการรำดาบในวงงานเลี้ยงรับรอง โดยเมื่อสบโอกาสให้ลงมือสังหารหลิวปังเสีย
ทว่า เซี่ยงจวงไม่ทันได้ลงมือ จางเหลียงซึ่งเป็นเสนาธิการของหลิวปังเห็นสถานการณ์คับขันยิ่ง
จึงรีบเรียกให้นายพลฝานไคว่ออกมารับมือเพื่อปกป้องหลิวปังก่อน โดยฝานไคว่ถือดาบและโล่พุ่งเข้ามาในวงงานเลี้ยง
พร้อมกับกล่าวชื่นชมหลิวปังต่าง ๆ นานา ว่า “หลิวปังบุกเข้าเมืองเสียนหยางก่อน
แต่กลับไม่ได้ยึดเมืองและตั้งตนเป็นฮ่องเต้แต่อย่างใด เฝ้ารักษาเมืองเอาไว้เพื่อรอคอยให้ท่านเดินทางมาเป็นฮ่องเต้
ลูกน้องที่สร้างคุณงามความดี มีความสามารถเช่นนี้ เซี่ยงอี่ว์ท่านจะหาได้จากที่ใดอีก”
เซี่ยงอี่ว์เมื่อได้ฟังก็มิอาจทำเช่นไรได้
เพียงยกจอกสุราขึ้นกล่าวชมเชย จางเหลียงกับหลิวปังจึงรีบยกจอกสุราขึ้นดื่มโดยพลัน พร้อมหาข้ออ้างปลีกตัวออกจากวงงานเลี้ยงเพื่อไปเข้าห้องน้ำ
ก่อนเดินทางกลับฐานที่มั่นของตนเองในทันที
ด้านฟ่านเจิงเมื่อทราบข่าวว่า หลิวปังกับลูกน้องหนีหน้าเดินทางกลับไปแล้วก็รู้สึกโกรธเป็นอย่างมากที่
เซี่ยงอี่ว์ไม่กล้าตัดสินใจ ทั้ง ๆ ที่หลิวปังเปรียบเสมือนลูกไก่ในกำมือแท้ ๆ
กลับปล่อยให้หนีรอดไป จึงกล่าวว่า “เซี่ยงอี่ว์มิอาจเป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จได้
จงคอยดูต่อไปว่าผู้ที่ก้าวขึ้นเป็นฮ่องเต้จะต้องเป็นหลิวปัง”
สำนวน “เซี่ยงจวงรำดาบ
เจตจำนงอยู่ที่เพ่ยกง” หมายความถึง บุคคลที่คำพูดกับการกระทำไม่ตรงกัน
หรือ กระทำการใดโดยมีวาระซ่อนเร้น ซึ่งตรงกับสำนวนไทยที่ว่า “ปากไม่ตรงกับใจ”
หมายเหตุ :
ในเวลาต่อมาเซี่ยงอี่ว์ได้ตั้งตนเป็นฌ้อปาอ๋องตะวันตก และแต่งตั้งหลิวปังไปเป็นเจ้าเมืองฮั่นในเขตทุรกันดาร
เมื่อสบโอกาสที่เซี่ยงอี่ว์ยกทัพออกไปรบกับรัฐอื่น หลิวปังก็สั่งกำลังทหารเข้ายึดเมืองเสียนหยาง
และประกาศตัวเป็นศัตรูกับเซี่ยงอี่ว์อย่างเต็มตัว
อย่างไรก็ตามด้วยกุศโลบายในการบริหารบ้านเมืองของหลิวปังที่เหนือกว่า
เซี่ยงอี่ว์จึงทำให้ทัพของหลิวปังเข้มแข็งขึ้นเรื่อย ๆ อิทธิพลในหมู่ประชาชนก็เพิ่มขึ้น
ขณะที่กองกำลังของเซี่ยงอี่ว์กลับอ่อนแอลง จนในที่สุด ในปี 202 ก่อนคริสต์ศักราช หลิวปังได้กองทัพไปปิดล้อมกองกำลังของเซี่ยงอี่ว์จนแตกพ่ายไม่เป็นท่า
แม้ว่า เซี่ยงอี่ว์ได้ตีฝ่าวงล้อมออกไปได้แต่ก็ถูกทหารของหลิวปังไล่ล่า จนต้องฆ่าตัวตายที่ริมแม่น้ำอูเจียง
(ปัจจุบันอยู่ในเขตมณฑลอันฮุย) ขณะที่หลิวปังก็ตั้งตนเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงฮั่นนามว่า
ฮ่องเต้ฮั่นเกาจู่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น