10/7/56

นิทาน ข้าวศักดิ์สิทธิ์



นิทาน ข้าวศักดิ์สิทธิ์
.
ครั้งหนึ่งในหมู่บ้านแห่งหนึ่งอยู่ห่างจากทางทิศตะวันอกของกรุงปักกิ่ง ประมาณ 25 ไมล์มีหลวงจีนองค์หนึ่งอาศัยอยู่หลวงจีนองค์นี้เป็นคนชั่วร้ายมาก แต่แกล้งทำเป็นคนบริสุทธิ์ชอบธรรมและถือศีลกินเพล และสอนพวกเด็ก ๆ ที่มาเรียนหนังสือด้วยแต่แท้ที่จริงนั้นหลวงจีนองค์นี้ต้องการเงิน และอาหารจากพวกเด็ก ๆ ที่มาเรียนหนังสือด้วย
มีเด็กคนหนึ่งที่หลวงจีนเกลียดชังมากกว่าคนอื่น ๆ เด็กคนนี้ชื่อหยาง หยางชอบเรียนหนังสือและเชื่อทุกอย่างที่อาจารย์บอก แต่หยางค่อนช้างสมองทึบเรียนหนังสือได้ช้าและโง่ และครอบครัวของเขายากจนจึงไม่มีเงินทองและอาหารมาให้อาจารย์เหมือนเด็กอื่น ๆ ที่ร่ำรวย
วันหนึ่งหยางและหลวงจีนผู้ชั่วร้ายเดินทางไปด้วยกันในบริเวณภูเขาทั้งสอง คนปีนขึ้นไปสูงเกือบถึงยอดเขา ซึ่งไม่มียอดเขา ซึ่งไม่มีหมู่บ้านและผู้คน ทันใดนั้นหลวงจีนก็เกิดความคิดแยบคายอยางหนึ่ง เด็กคนนี้โง่มากและจะทำอะไร ๆ ทุกอย่างที่เราบอกให้ทำ หลวงจีนรำพึงในใจถ้าเราบอกให้มันอยู่ภูเขานี้จนกว่าเราจะกลับมามันก็จะอยู่ และมันจะอดอาหารตาย
หลวงจีนจึงพูดกับหยางว่า เราจะต้องไปเยี่ยมนักปราชญ์คนหนึ่ง อยู่ทางเขาด้านโน้น เจ้าจงรอเราอยู่ที่นี่ เราจะไปหลายวันแต่เราจะกลับมาอีก
ผมจะรอท่านอาจารย์หยางตอบ แต่ถ้าท่านไปนานหลายวัน เวลาผมหิวผมจะเอาอะไรกิน ?”
กินก้อนหินก็ได้ บนเขานี้มีหินเยอะแยะ
แล้วผมจะเอาอะไรต้มหินนั้นละครับ ?”
ใช้เท้าของเจ้าก็ได้ ถ้าไม่มีอะไรอื่นทำฟืน
หยางคิดว่าสิ่งที่อาจารย์บอกให้ทำนั้นแปลกประหลาดมาก แต่หยางเชื่อาจารย์เสมอเพราะคิดว่าหลวงจีนเป็นคนฉลาด แล้วหลวงจีนก็จากไปทิ้งให้หยางอยู่คนเดียวบนภูเขา
ครั้นรุ่งเช้าหยางก็รู้สึกหิว จึงหยิบหินขาวเกลี้ยง ๆ มาสองสามก้อนและเอาใส่ลงในชามที่เขาถือติดมือไปด้วย เขาเอาใบไม้และเศษไม้มากองข้างใต้ชามนั้น แต่เขาไม่มีอะไรจุดไฟ เขานึกถึงคำที่อาจารย์บอกขึ้นมาได้จึงนั่งลงเหยียดเท้าออกไปที่ใต้ใบไม้
ต่อมาอีกสักครู่ หยางก็รู้สึกว่าเท้าของเขาอุ่นสบาย ไม่ร้อนหรือเย็นเกินไป ต่อมาอีกสักครู่เขาก็ลุกขึ้นมองดูในชามและเห็นมีข้าวร้อน ๆ ในชามนั้นท่านอาจารย์ของเราช่างฉลาดเหลือเกินหยางคิดใครจะเชื่อว่าก้อนหินจะกลับกลายเป็นข้าวได้
ต่อมาอีกราว ๆ หนึ่งสัปดาห์หลวงจีนผู้ชั่วร้ายได้กลับมา หลวงจีนประหลาดใจที่เห็นหยายงยังไม่ตายและมีท่าทางร่าเริงแจ่มใสขอบคุณท่านอาจารย์ ที่บอกผมเรื่องให้เอาหินกินแทนข้าวหยางร้องบอกเมื่อเห็นหลวงจีน คราวนี้ผมจะไม่ต้องหิวอีกแต่หลวงจีนโกรธมาก ขณะที่ทั้งสองคนพากันเดินลงไปตามไหล่เขาที่สูงชัน หลวงจีนก็ผลักหยางตกลงจากหน้าผา สิ้นเคราะห์ไปที่ไอ้เด็กเวรหลวงจีนผู้ชั่วร้ายคิด ขณะที่ชะโงกหน้าดูว่าหยางตกลงจากหน้าผาหรือไม่
ครั้งหนึ่งในหมู่บ้านแห่งหนึ่งอยู่ห่างจากทางทิศตะวันอกของกรุงปักกิ่ง ประมาณ 25 ไมล์มีหลวงจีนองค์หนึ่งอาศัยอยู่หลวงจีนองค์นี้เป็นคนชั่วร้ายมาก แต่แกล้งทำเป็นคนบริสุทธิ์ชอบธรรมและถือศีลกินเพล และสอนพวกเด็ก ๆ ที่มาเรียนหนังสือด้วยแต่แท้ที่จริงนั้นหลวงจีนองค์นี้ต้องการเงิน และอาหารจากพวกเด็ก ๆ ที่มาเรียนหนังสือด้วย
มีเด็กคนหนึ่งที่หลวงจีนเกลียดชังมากกว่าคนอื่น ๆ เด็กคนนี้ชื่อหยาง หยางชอบเรียนหนังสือและเชื่อทุกอย่างที่อาจารย์บอก แต่หยางค่อนช้างสมองทึบเรียนหนังสือได้ช้าและโง่ และครอบครัวของเขายากจนจึงไม่มีเงินทองและอาหารมาให้อาจารย์เหมือนเด็กอื่น ๆ ที่ร่ำรวย
วันหนึ่งหยางและหลวงจีนผู้ชั่วร้ายเดินทางไปด้วยกันในบริเวณภูเขาทั้งสอง คนปีนขึ้นไปสูงเกือบถึงยอดเขา ซึ่งไม่มียอดเขา ซึ่งไม่มีหมู่บ้านและผู้คน ทันใดนั้นหลวงจีนก็เกิดความคิดแยบคายอยางหนึ่ง เด็กคนนี้โง่มากและจะทำอะไร ๆ ทุกอย่างที่
เราบอกให้ทำ หลวงจีนรำพึงในใจ ถ้าเราบอกให้มันอยู่ภูเขานี้จนกว่าเราจะกลับมามันก็จะอยู่ และมันจะอดอาหารตาย
หลวงจีนจึงพูดกับหยางว่า เราจะต้องไปเยี่ยมนักปราชญ์คนหนึ่ง อยู่ทางเขาด้านโน้น เจ้าจงรอเราอยู่ที่นี่ เราจะไปหลายวันแต่เราจะกลับมาอีก
ผมจะรอท่านอาจารย์หยางตอบ แต่ถ้าท่านไปนานหลายวัน เวลาผมหิวผมจะเอาอะไรกิน ?”
กินก้อนหินก็ได้ บนเขานี้มีหินเยอะแยะ
แล้วผมจะเอาอะไรต้มหินนั้นละครับ ?”
ใช้เท้าของเจ้าก็ได้ ถ้าไม่มีอะไรอื่นทำฟืน
หยางคิดว่าสิ่งที่อาจารย์บอกให้ทำนั้นแปลกประหลาดมาก แต่หยางเชื่อาจารย์เสมอเพราะคิดว่าหลวงจีนเป็นคนฉลาด แล้วหลวงจีนก็จากไปทิ้งให้หยางอยู่คนเดียวบนภูเขา
ครั้นรุ่งเช้าหยางก็รู้สึกหิว จึงหยิบหินขาวเกลี้ยง ๆ มาสองสามก้อนและเอาใส่ลงในชามที่เขาถือติดมือไปด้วย เขาเอาใบไม้และเศษไม้มากองข้างใต้ชามนั้น แต่เขาไม่มีอะไรจุดไฟ เขานึกถึงคำที่อาจารย์บอกขึ้นมาได้จึงนั่งลงเหยียดเท้าออกไปที่ใต้ใบไม้
ต่อมาอีกสักครู่ หยางก็รู้สึกว่าเท้าของเขาอุ่นสบาย ไม่ร้อนหรือเย็นเกินไป ต่อมาอีกสักครู่เขาก็ลุกขึ้นมองดูในชามและเห็นมีข้าวร้อน ๆ ในชามนั้นท่านอาจารย์ของเราช่างฉลาดเหลือเกินหยางคิดใครจะเชื่อว่าก้อนหินจะกลับกลายเป็นข้าวได้
แต่แล้ว หลวงจีนก็ต้องประหลาดใจที่ได้เห็นหยางยืนอยู่บนดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ ที่รองรับเท้าของพวกเทพเจ้า
ต่อมาอีกราว ๆ หนึ่งสัปดาห์หลวงจีนผู้ชั่วร้ายได้กลับมา หลวงจีนประหลาดใจที่เห็นหยายงยังไม่ตายและมีท่าทางร่าเริงแจ่มใสขอบคุณท่านอาจารย์ ที่บอกผมเรื่องให้เอาหินกินแทนข้าวหยางร้องบอกเมื่อเห็นหลวงจีน คราวนี้ผมจะไม่ต้องหิวอีกแต่หลวงจีนโกรธมาก ขณะที่ทั้งสองคนพากันเดินลงไปตามไหล่เขาที่สูงชัน หลวงจีนก็ผลักหยางตกลงจากหน้าผา สิ้นเคราะห์ไปที่ไอ้เด็กเวรหลวงจีนผู้ชั่วร้ายคิด ขณะที่ชะโงกหน้าดูว่าหยางตกลงจากหน้าผาหรือไม่
แต่แล้ว หลวงจีนก็ต้องประหลาดใจที่ได้เห็นหยางยืนอยู่บนดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ ที่รองรับเท้าของพวกเทพเจ้าเมื่อเดินทางจากสวรรค์มายังแผ่นดินโลก หรือจากโลกขึ้นสวรรค์
หยางยืนอยู่บนดอกบัวศักดิ์สิทธิ์และลอยไปสู่แดนสวรรค์ และถ้าหลวงจีนอยู่ใกล้พอก็คงจะได้ยินเสียงหยางร้องว่า ขอบคุณท่านอาจารย์ ขอบคุณ…..”
ดีละหลวงจีนคิด เราเห็นจะต้องไปสวรรค์บ้างเพราะการไปสวรรค์ดู ๆ ก็ไม่เห็นจะยากเย็นอะไรแล้วหลวงจีนก็กระโดดจากหน้าผา แต่ไม่มีดอกบัวศักดิ์สิทธิ์รองรับไว้ หลวงจีนตกจากหน้าผาลงไปในหุบเขาเบื้องล่างถึงแก่ความตาย
ต่อมาอีกไม่ช้าพวกชาวบ้านก็รู้เรื่องนี้ ชาวบ้านสองสามคนได้ปีกขึ้นไปบนภูเขาตรงที่ หลวงจีนทิ้งหยางให้อดอาหารตาย และเขาพบข้าวศักดิ์สิทธิ์ที่หยางหุงตกอยู่บนดินพวกเขาเหล่านั้นจึงทราบ เรื่องนี้เป็นความจริง และหินได้กลายเป็นข้าวจริง ๆ
พวกชาวบ้านจึงสร้างวัดขึ้น เรียกชื่อว่า วัดข้าวศักดิ์สิทธิ์และเอาข้าวนั้นเก็บไว้ในหีบพิเศษไว้ในห้องโถงใหญ่ของวัด หลายคนได้มาดูข้าวนั้น
คืนหนึ่งมีโจรสามคนมาปล้นวัด พวกโจรขโมยเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่มันพบในวัดนั้น มันขโมยสบงจีวรของหลวงจีน เชิงเทียน และขโมยเงินของพระที่เก้บเอาไว้จะสร้างห้องใหม่ในวัดนั้น มันขโมยเอาที่เผาเครื่องหอมและเทียนไปและดอกบัวทองคำที่วางอยู่บนแท่นบูชา ดอกบัวนั้นพวกพระทำไว้เพื่อเป็นที่ระลึกถึงดอกบัวที่พาหยางลอยขึ้นสวรรค์และ เมื่อพวกโจร เห็นหีบข้าวศักดิ์สิทธิ์ในห้องโถงใหญ่ มันดีอกดีใจจึงพากันนั่งกินข้าวนั้น พวกหลวงจีนได้เตือนว่าข้าวนั้นเป็นข้าวศักดิ์สิทธิ์ แต่มันกลับหัวเราะ และพูดว่า
ข้าวศักดิ์มีรสอร่อยกว่าข้าวธรรมดา
ภายหลังที่พวกโจรได้กินข่าวหมดแล้วก็พากินเดินลงจากภูเขา มันรู้สึกพอใจมาก จึงร้องเพลงและคุยกันอย่างสนุกสนานไปตามทางแต่ทันใดนั้นเองโจรคนหนึ่งได้ หยุดยืนและร้องว่า ข้าวศักดิ์ เรากินข้าวศักดิ์แล้วโจรทั้งสามคนก็ล้มลงบนพื้นดิน เพราะข้าวที่กินเข้าไปได้กลับกลายเป็นหินในท้องของพวกโจร มันจึงท้องแตกตายทั้งสามคน
เช้าวันรุ่งขึ้นพวกหลวงจีนที่วัดข้าวศักดิ์สิทธิ์พบพวกโจรนอนตายอยู่บน ไหล่เขา เมื่อพวกหลวงจีนเหล่านั้นลงไปหาวื้ออาหารในหมู่บ้านพวกหลวงจีนทราบทันที่ว่า มีอะไรเกิดขึ้น แต่ก็ไม่สามารถจะช่วยอะไรพวกโจรได้ เพราะทั้งสามคนตายเสียแล้ว
ดังนั้นพวกหลวงจีนจึงขนของที่พวกโจรขโมยไปกลับมาที่วัดอีกหลวงจีนไมมี ข้าวศักดิ์สิทธิ์ จะเอาใส่หีบแทนข้าวที่พวกโจรกินหมดไป ต่พวกหลวงจีนเอาข้าวที่เหลืออีกสองสามเมล็ดใส่หีบและเก็บไว้เป็นสิ่งที่มี ค่ายิ่ง แล้วสร้างห้องใหม่ในวัด ห้องนั้นทาสีทอง สีน้ำเงิน และมีประตูสีแดง แล้วเอาเชิงเทียนสูงวางไว้ทั้งสองข้างห้อง และจุดเทียนตลอดวัน และวางหีบข้าวไว้ที่นั่น
หลังจากนั้นวัดข้าวศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นวัดที่มีชื่อเสียง ทุกวันนี้วัดนี้ยังตั้งอยู่บนภูเขาห่างจากทิศตะวันตกของเมืองปักกิ่ง 25 ไมล์ และพวกนักธุดงค์ได้เดินทางมาจากสถานที่ต่าง ๆ ที่อยู่ห่างไกลหลายร้อยไมลืเพื่อจะดูข้าวศักดิ์สิทธิ์ที่ยังเหลืออีกสอบสาม เมล็ด แต่ไม่มีใครกล้าแตะต้องข้าวนั้นเลยแม้แต่พวกโจร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น