3/7/56

ศีลห้าจากพระอาจารย์(พระพุทธจี้กง) 4



บทมุสาวาจามิชอบ

วาจามิชอบเป็นจุดเริ่มต้นของความผิดบาปอื่น ๆ การบรรยายธรรม ปาถาฐา ฯ จะต้องมีสาระในทางเสริมสร้าง จึงจะนับว่าเป็นนักพูดที่ได้รับความสำเร็จ
คนค้าขายจะไม่ให้ผิดข้อมุสานั้นยาก ทางที่ดีเมื่อค้าขายได้เงินทองของเขามาแล้วแบ่งเงเนส่วนหนึ่งไปทำบุญทาน อุทิศให้เขา และชดเชยความผิดของตนเสีย
แต่ช่วยพูดจาส่งเสริมญาติธรรมจะต้องติดตามผล ให้วิเคราะห์ความทุกข์ของเขาจากความเป็นจริง อย่าพูกให้เขาหลับหูหลับตามารับธรรมะ อย่าเหมาว่ารับธรรมะแล้วจะหายจากโรคภัยนั้น ๆ หรือกินเจตลอดชีวิตแล้วตั้งตำหนักพระจะหายจากโรคมะเร็งได้
จงส่งเสริมให้เขาเข้าใจหลักสัจธรรมด้วย มีกำลังความสามารถเท่าไรก็พูพไปเท่านั้น ไม่พูดเกินกำลังความเป็นจริง มีคำกล่าวว่าพูดปดไปเพียงคำเดียวจะต้องหาคำโกหกมาปิดบังคำพูดนั้นอีกถึงสิบคำ” พูดปดบ่อย ๆ จะกลายเป็นความเคยชินวาจามิชอบเป็นอาวุธฆ่าคนได้อย่างเลือดเย็น”อย่าเที่ยวได้ปากยื่นปากยาวไปบ้านเหนือบ้านใต้”

พูดเพ้อเจ้อถือเป็นว่จามิชอบ แต่ถ้าพูดแบบอารมณ์ขันทำให้ผู้อื่นคลายทุกข์ได้ไม่ผิด เขายกย่องชมเชย ซึ่งแม้เจ้าจะดีอย่างที่เขาชื่นชมจริง แต่เจ้าก็ปฏิเสธคำชมด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนว่าไม่จริงอย่างนี้ไม่ผิด ทุกคนชอบฟังคำพูดที่ทำให้สบายใจ วาจาดีเป็นสะพานเชื่อมบุญสัมพันธ์
ถามทุกข์สุข แนะนำปลอบโยน ชื่นชมให้กำลังใจ ชาติก่อนชอบนินทาว่าร้าย ชาตินี้จะถูกทำลายชื่อเสียงมีอุปสรรคถูกขัดขวางถูกด่าว่าพูดจาไม่มีใครรับ ฟังน้ำเสียงไม่ไพเราะ อ้ำอึ้งพูดกำกวมไม่ชัดเจนฯ ผู้ผิดศีลข้อมุสาใช้วาจามิชอบ จะบำพ็ญอย่างไรก็ไม่ได้สัมโพธิผล
ศีลห้าไม่บริสุทธิ์ บกพร่องช้อใดก็ตาม จะไม่อาจบรรลุสัมโพธิมรรคทั้งสิ้น ผู้ผิดศีลข้อมุสาใช้วาจามิชอบ กลิ่นปากจะเหม็นเป็นประจำรักษาไม่หาย กลิ่นตัวแรง ยิ่งกินเนื้อสัตว์จะยิ่งกลิ่นตัวแรง กินเจจะทำให้คลายลง
ผู้สำรวมรักษาศีล ใช้วาจาชอบ ปากจะมีกลิ่นหอมเหมือนดอกอุบลวรรณ ศพของผู้บำเพ็ญบางคนถูเผาแล้ว ฟันยังคงอยู่ไม่ถูกเผาไหม้ทั้งสามสิบสองซี่ก็มี ผู้ใช้วาจาชอบจะเป็นที่เชื่อถือยินดีแก่ตนทั้งหลายไม่ต้องมีสิ่งซ่อนเร้น จะไม่มีเสียงหยาบคายรบกวนหู รบกวนใจ

พูดเกินความเป็นจริงบางอย่างด้วยเจตนาดีเพื่อฉุดช่วยนำพาเขาให้พ้นทุกข์ไม่ ถือเป็นวาจามิชอบ “กวนใจ ทำลายสติ ให้เขาคิดมากลำบากใจ”ทำลายสายสัมพันธ์ให้เขาแหนงหน่ายไม่ลงรอยกัน”หยอกล้อล่วงเกินให้เขาอับอายเกิดปมด้อย” ฯลฯ เหล่านี้ล้วนผิดศีลมุสาใช้วาจามิชอบ มีเกร็ดประวัติเรื่องหนึ่ง ซึ่งท่านบรมครูขงจื้อถือเป็นอุทาหรณ์สอนใจศิษย์ทันทีเมื่อเกิดเหตุการณ์นั้น คือ เช้าวันหนึ่งศิษย์คนหนึ่งอยู่เวรทำอาหาร ข้าวต้มสุกแล้ว บังเอิญเศษอะไรชิ้นเล็กๆตกจากเพดานลงไปในข้าวต้ม ศิษย์ผู้นั้นกลัวจะเป็นอันตรายแก่ท่านบรมครู จึงตักเศษอะไรนั้นใส่ปากเพื่อพิสูจน์ว่ามันคืออะไร
ท่านบรมครูชี้ให้ศิษย์อีกคนหนึ่งดู ศิษย์ผู้นั้นลุกขึ้นตรงเข้าไปว่ากล่าวติเตือนเพื่อนทันทีว่าเสียมรรยาทแองกินอาหารก่อนท่านครู” ศิษย์ผู้ถูกกล่าวหาร้องปฏิเสธรีบชี้แจงความเป็นจริงด้วยความตกใจ ท่านบรมครูจึงเรียกชุมนุมศิษย์ทั้งหมดแล้วให้คติว่าสิ่งที่ครูมองเห็นเองยังผิดต่อความเป็นจริงได้แล้วยิ่งเป็นเรื่องที่เล่า ต่อกันมาล่ะ จากปากที่สามต่อไปความเป็นจริงจะถูกบิดเบือนไปอีกเท่าไร...”

ฉะนั้นก่อนจะสรุปความว่ากล่าวติเตียนใคร จึงให้ระวังคำมุสาวาจามิชอบไม่อยากมีเรื่องกล่าวหาว่าร้าย ให้สงบปากสงบคำอย่าพร่ำพูด” อย่าพูดเอาแต่ได้ อย่าปักหลักพูดแต่ฝ่ายตัวเอง ให้ยืนอยู่เป็นฝ่ายเขา เห็นใจเขา ให้โอกาสเขา พูดเพื่อคนอื่นบ้าง ความบาดหมางจากวาจาจะน้อยลง
มีคนสองระดับที่ไม่นินทาว่าร้าย คือ ผู้มีปัญญาระดับสูง และคนโง่ทึ่มที่สุด ปัญญาสูงเห็นสัจธรรมไม่หวั่นไหวในเสียงรบกวน คนโง่ทึ่มไม่เข้าใจในเสียงรบกวน คนสองระดับนี้จึงบำเพ็ญศีลข้อนี้ได้ดี
จะพูดจานำพาคนมารับธรรมะ อย่าให้เขาเข้าใจผิดว่าเจ้ามีความพึงพอใจในตัวเขา ต้องเอาความเมตตาเป็นเจตนา อย่าเอาอารมณ์ ความรู้สึกพิสมัยเป็นเจตนา ญาติธรรมหนุ่มสาวต้องระวังเรื่องนี้ให้มาก อาชีพหมอดูทำนายทายทักดวงชะตาอาชีพดูทำเลที่ทาง(ฮวงจุ๊ย) ทนายความ อัยการ ผู้พิพากษาฯ ยิ่งต้องระวังวาจา
พูดผิดพลาดพลั้งไปทำร้ายจิตใจ ทำลายชีวิตอนาคตเขา จะบาปมาก ผู้ไม่ผิดศีลมุสาไม่ใช้วาจามิชอบ ผู้ได้สำรวมปากคำมาสามชาติ ชาตินี้ปลายลิ้นจะแตะถึงจมูก ลิ้นมีสีแดงดังชาดทาไว้ ริมฝีปากอิ่มเกิดเป็นหญิงซี่ฟันจะกว้างหนา เป็นศรีภรรยาเป็นศรีสะใภ้
แต่หากหญิงใดฟันห่าง ลมปากผ่านช่องฟันได้เป็นคนจับจ่ายไม่ยั้งเก็บเงินไม่อยู่ ฟันซี่เรียวเล็กเหมือนฟันหนู เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นเจ้าเล่ห์เจ้ากล หญิงใดสุ้มเสียงอ่อนโยนนุ่มทุ้ม มีบุญวาสนาสูงส่ง ลักษณะภายนอกเหล่านี้เป็นเครื่องประกอบให้เจ้ารู้ไว้พิจารณาตัวเอง
บกพร่องส่วนใดก็ให้แก้ไขด้วยการปฏิบัติบำเพ็ญในที่สุดลักษณะด้อยของเจ้าก็จะ กลายเป็นลักษณะดีได้ พวกเจ้าเพ้อเจ้อ มุสา ใช้วาจามิชอบกันวันละมากมายพอๆกับกินข้าวใช่ไหม นี่แหละจะทำให้การปฏบัติบำเพ็ญของเจ้าถูกก่อกวน แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยเหมือนกับน้ำข้าวต้มใสๆ ดูเหมือนกับไม่ได้ผิดอะไร แต่ก็ทำให้เจ้าบะดุดได้ สำรวมในศีลอย่างแท้จริง จึงเป็นการบำเพ็ญอย่างแท้จริง
ผู้ได้รับวิถีธรรมแล้วไม่ถือศีลจะเป็นเพียงผู้มีบุญสัมพันธุ์ที่ผ่านเข้ามาในประตูพุทธะเท่านั้น ถือศีลได้บริสุทธิ์ หนึ่งศีลมีหนึ่งเทพยดาคุ้มครองรักษา ไม่สำรวมในศีล สิ่งศักดิ์สิทธิ์เทพยดาไม่กล้าเข้าใกล้ อีกทั้งไม่อาจปกปักรักษา ถือศีลสำรวมวาจา จะเกิดปัญญามีวาทะศิลป็มีสง่าราศีลักษณะดีงาม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น