นิทานจีน
ดาวพเนจร
หลายร้อยปีมาแล้วฮันวูดีเป็นจักรพรรดิของประเทศจีน ในเวลานั้นไม่มีใครในประเทศจีนที่ทราบถึงความเป็นไปของดินแดนส่วนอื่น ๆ ในโลก เขาไม่รู้จักภูมิศาสตร์ของประเทศอื่น ๆ หรือบางส่วนของประเทศของเขาเอง เขาไม่ทราบว่ามีคนอาศัยอยู่ไกลออกไปจากภูเขาทางทิศตะวันตกหรือไม่ หรือแม่น้ำเหลืองมาจากไหน หรือมนุษย์หรือภูตผีปีศาจอาศัยอยู่ในทะเลทรายทางทิศเหนือหรือไม่
ดังนั้นจักรพรรดิฮันวูดีจึงตัดสินพระทัยว่า
จะสืบสวนให้ทราบเรื่องเหล่านี้ให้ได้ ท่านได้ใช้เสนาบดีคนหนึ่งชื่อจางเซียนออกไปสำรวจดูดินแดนทางตะวันตกและดิน
แดนทางเหนือของประเทศจีน และพยายามจะหาต้นแม่น้ำเหลือง จางเซียนท่องเที่ยวไปเป็นเวลานานถึง
15 ปี
เขาได้ไปเยี่ยมเยี่ยนหลายประเทศ และนำสิ่งของหลายอย่างที่เขาไม่เคยเห็นในประเทศจีนมาก่อนกลับ
มีลูกวอนัด ผลองุ่นและข้าวต่าง ๆ อีกหลายชนิด เขาถูกพวกฮั่นจับตัวได้ พวกฮั่น เป็นพวกคนป่าเถื่อนอาศัยอยู่ทางตอนเหนือ
ทางภาคเหนือของประเทศจีน และเขาต้องถูกจับเป็นเชลยอยู่หลายปีจึงหนีรอดมาได้
แต่จางเซียนก็ยังไม่พบต้นแม่น้ำเหลือง
ในที่สุดเขาตัดสินใจว่าสิ่งเดียวที่เขาจะทำได้คือ แล่นเรือทวนน้ำขึ้นไปทางทิศตะวันตกจนกระทั่งเขาไปถึงต้นแม่น้ำเหลือง
แม่น้ำสายนี้ยาว และไหลคดเคี้ยวไปทั่วประเทศจีน และจางเซียนแล่นเรือไปในแม่น้ำนั้นหลายเดือนคืนหนึ่งเมื่อเขาจอดเรื่อที่ริม
ฝั่งแม่น้ำได้เกิดพายุใหญ่ เรือของเขาลอยออกจากฝั่งและไหลตามกระแสน้ำไปในความมืด และเขาต้องเกาะเรือไว้แน่นเพื่อไม่ให้ลมพัดเขาตกจากเรือลงไปในน้ำ
เช้าวันรุ่งขึ้นพายุสยบ
ท้องฟ้ามีสีน้ำเงินปราศจากเมฆ และแม่น้ำมีสีน้ำเงิน พื้นน้ำราบเรียบปราศจากคลื่น ภูมิประเทศที่อยู่ล้อมรอบดูแปลกตา
เมื่อวันก่อนนี้มีภูเขาอยู่สองฝั่งแม่น้ำ เวลานี้มีทุ่งนาและสวนผลไม้
วันก่อนน้ำไหลเชียวและขุ่นเป็นตม เวลานี้กระแสน้ำไหลเอื่อย ๆ และใส่แจ๋วจนเขาสามารถมองเห็นก้อนหินที่ก้นแม่น้ำได้อย่างชัดเจน
จางเซียนแล่นเรื่อต่อไปเกือบตลอดวันโดยไม่พบใครเลย
เขาไม่เห็นนกหรือสัตว์อื่น ๆ ด้วย นอกจากนกเอี้ยงจำนวนมากมายบินร่อนอยู่เหนือพื้นน้ำ
ตามริมฝั่งแม่น้ำมีต้นท้อออกดอกงดงาม
ต่อมาในตอนบ่ายเขาสังเกตเห็นคนเลี้ยงวัวคนหนึ่งในทุ่งนาใกล้ ๆ ชายนั้นจูงวัวมากินน้ำที่แม่น้ำ
และในไม่ช้ามีหญิงสาวคนหนึ่งออกมานั่งอยู่ที่ฝั่งน้ำอีกฟากหนึ่ง มีหูกทอผ้าวางอยู่ใกล้
ๆ หญิงสาวผู้นั้น และนางถือกระสวยทอผ้าไว้ในมือ
จางเซียนนำเรือไปจอดที่ริมฝั่งแม่น้ำ
“ข้าพเจ้าต้องขอโทษท่าน”
เขาพูดกับหญิงสาว “ท่านสามารถจะบอกข้าพเจ้าได้ไหมว่าข้าพเจ้าอยู่ในตำบลใด
และจะหาหมู่บ้านที่อยู่ใกล้ที่สุดได้ที่ไหน ?” ข้าพเจ้าหลงทางในระหว่างที่เกิดพายุ”
นางยิ้มกับเขาและสั่นศรีษะ
“ฉันบอกท่านไม่ได้”
นางพูด “และถ้าฉันบอกท่านก็คงไม่เชื่อฉัน แต่จงเอากระสวยนี้ไปแล้วแล่นเรือกลับไปทางเก่า
เมื่อท่านไปถึงเมืองหลวงจงเอากระสวยนี้มอบให้โหรของจักรพรรดิ โหรที่ศึกษาเล่าเรียนเกี่ยวกับดวงดาว
จงบอกให้เขาทราบวันและชั่วโมงที่ท่านได้กระสวยนี้ และบางที่เขาอาจอธิบายให้ท่านเข้าใจได้”
จางเซียนรู้สึกประหลาดใจมาก
และปฏิบัติตามที่นางบอกเขา เขาแล่นเรือตามน้ำกลับมา
และถึงเมืองหลวงในเวลาอันรวดเร็วกว่าที่คาดไว้ และเขาได้ไปหาโหรของจักรพรรดิทันที่
เมื่อจางเซียนเอากระสวยให้โหรดูชายนั้นก็ผงกศีรษะ
และเมื่อ จางเซียนบอกเขาว่า นางได้มอบกระสวยให้เขาในวันที่เจ็ดของเดือนที่เจ็ด เขาก็ร้องขึ้นอย่างตื่นเต้น
“ท่านเป็นดาวพเนจรที่ข้าพเจ้าสังเกตเห็นในวันนั้น”
“ดาวพเนจร
?” จางเซียนถาม “ข้าพเจ้าจะเป็นดวงดาวได้อย่างไร
?”
“ข้าพเจ้าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ท่านฟัง”
โหรตอบ “หลายปีมาแล้ว นางเทพีที่ทอผ้าซี่งเป็นธิดาของเง็กเซียนฮ่องเต้ได้รักกับคนเลี้ยงวัวหนุ่ม
คนหนึ่ง และทั้งสองคนได้แต่งงานกัน คู่บ่าวสาวมีความสุขมาก ทั้งสองอาจจะมีความสุขมากเกินไปเพราะเขาต่างก็ละทิ้งหน้าที่
ๆ เคยปฏิบัติ คนเลี้ยงวัวปล่อยให้วัวของเขาหลงไปจากฝูง
และนางเทพีที่ทอผ้าก็เลิกทอผ้า เง็กเซียนฮ่องเต้กริ้วเมื่อทรงทราบเรื่องนี้ จึงขับไล่คนเลี้ยงวัวไปอยู่อีกฟากหนึ่งของทางช้างเผือก
ซึ่งเป็นแม่น้ำใหญ่ไหลผ่านแดนสวรรค์ คู่รักทั้งสองมองเห็นกันข้ามฝั่งแม่น้ำแต่ไปพบกันไม่ได้
นอกจากในคืนที่เจ็ดของเดือนที่เจ็ด ในคืนเดียวนั้นเง็กเซียนฮ่องเต้อนุญาติให้ทั้งสองคนพบกันได้
“แต่ชายหญิงทั้งสองจะพบกันได้อย่างไร
เพราะมีแม่น้ำสายใหญ่ขวางอยู่ระหว่างเขาทั้งสอง ?” จางเซียนถาม
“ในคืนนั้นฝูงนกเอี้ยงมาจากแดนสวรรค์และกางปีกออกทำเป็นสะพานทอดให้นาง
เดิน่ข้ามไป นางเทพีที่ทอผ้าเดินข้ามสะพานนั้นไปพบคู่รักของนาง สามีของนาง บางที่ท่านอาจจะสังเกตเห็น”
เขากล่าวต่อไปว่า “ท่านไปเห็นนกเอี้ยงที่แผ่นดินโลกในวันที่เจ็ดเดือนเจ็ดดอกหรือ
?”
“เรื่องนี้เป็นความจริง” จางเซียนตอบ
“เรื่องนี้เป็นความจริง” จางเซียนตอบ
“ปีนี้ในวันที่เจ็ดเดือนเจ็ด
” โหรกล่าวต่อไป “ข้าพเจ้าเฝ้าดูท้องฟ้าเพื่อจะดูการพบปะระหว่างนางเทพีกับสามีของนางเช่นเคย
ทันใดนั้นข้าพเจ้าเห็นดาวพเนจรดวงหนึ่ง ลอยมาอยู่ระหว่างดาวทั้งสองดวง (ชายหญิงทั้งสองปรากฏร่างเป็นดวงดาว) เวลาที่พวกเรามองดูจากแผ่นดินโลก จากเรื่องที่ท่านเล่าให้ฟัง
ข้าพเจ้าคิดว่าท่านต้องเป็นดาวดวงนั้น
“ถ้าเช่นนั้น”
จางเซียนร้อง “ข้าพเจ้าก็ได้แล่นเรือบนทางช้างเผือก
และแม่น้ำเหลืองกับทางช้างเผือกเป็นแม่น้ำสายเดียวกัน”
“ถูกแล้ว”
โหรตอบ “พวกนักปราชญ์เชื่อว่าทางช้างเผือกไหลจากแดนสวรรค์มาที่แผนดินโลกและกลับ
กลายเป็นแม่น้ำเหลือง ในแดนสวรรค์แม่น้ำนี้ใส แต่ในแผ่นดินโลกน้ำขุ่นเป็นตมเพราะมีดินสีเหลืองปนอยู่ด้วย
แต่ก็เป็นแม่น้ำสายเดียวกันนั่นเอง”
“ท่านหมายความว่า
เมื่อเดือนที่แล้วนี้เองข้าพเจ้าได้แล่นเรือข้ามท้องฟ้า” จางเซียนถามแล้วถามอีก”
และท้องทุ่งที่ข้าพเจ้ามองเห็นสองฝั่งน้ำเป็นท้องทุ่งในสวรรค์?”
“เรื่องนั้นไม่มีอะไรที่น่าสงสัย”
โหรตอบ “ท่านเห็นต้นท้อขึ้นเรียงรายอยู่สองฝั่งแม่น้ำหรือไม่?”
“ข้าพเจ้าเห็นต้นท้ออยู่สองฝั่งแม่น้ำออกดอกสวยงาม
ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นต้นทอที่ไหนสวยงามอย่างนั้นเลย”
โหรถอนใจใหญ่ “ข้าพเจ้าอยากจะได้เห็นต้นท้อเหล่านั้นบ้างท่านคงจะไม่ทราบหรอกว่าต้นท้อ
เหล่านั้นเป็นต้นไม้ที่ไม่รู้จักตาย และมีอยู่ในสวรรค์เท่านั้น ถ้าท่านแล่นเรือไปในเวลาสองสามเดือนหลังจากนี้เมือผลท้อสุก
และถ้าท่านได้กินผลท้อแม้เพียงผลเดียวท่านก็จะมีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์ หรืออย่างน้อยที่สุดท่านก็จะมีอายุยืนถึงสามพันปี”
วันรุ่งขึ้นจางเซียนได้ไปเฝ้าจักรพรรดิฮันวูดี
และเล่าเรื่องการเดินทางของเขาให้จักรพรรดิฟัง เรื่องพายใหญ่ และเรื่องที่นางเทพีให้กระสวยทอผ้าเขา
และเขาได้เอากระสวยทอผ้าถวายจักรพรรดิเพื่อพิสูจน์ว่าเรื่องที่เขาเล่าเป็น ความจริง
จักรพรรดิทรงชื่นชมยินดี
“ในที่สุด”
ท่านรับสั่ง “ในที่สุดเราก็รู้จักต้นแม่น้ำเหลือง
และเราทราบด้วยว่าเราสามารถจะเดินทางในแม่น้ำเหลืองจากแผ่นดินโลกไปยัง สวรรค์ได้โดยทางเรือ”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น