14/7/56

นิทานเซ็น ผ่าท้องซ่อนไข่มุก





นิทานเซ็น ผ่าท้องซ่อนไข่มุก



นิทานเซ็น ผ่าท้องซ่อนไข่มุก
ครั้งหนึ่งในรัชสมัยของฮ่องเต้ถังไท่จง แห่งราชวงศ์ถัง ขณะที่องค์ฮ่องเต้กำลังสนทนาปราศรัยอยู่กับเหล่าข้าราชสำนัก ถังไท่จงฮ่องเต้ ได้กล่าวถึงเรื่องราวหนึ่งว่า
ณ ดินแดนตะวันตกอันไกลโพ้น มีพ่อค้าวานิชย์ผู้หนึ่ง ด้วยความบังเอิญได้มีโอกาสครอบครองไข่มุกล้ำค่ามากชนิดที่ไม่เคยได้พบเจอมา ก่อน ทำให้เขาตื่นเต้นยินดีเป็นอันมาก แต่ขณะเดียวกันก็มีความกังวลว่ามุกเลอค่านั้นจะโดนขโมยไป ไม่ว่าจะเก็บรักษาไว้ที่ใดก็ไม่ทำให้เขารู้สึกวางใจได้ สุดท้ายจึงได้คิดวิธีการหนึ่งขึ้นมา คือคิดที่จะผ่าท้องของตัวเองแล้วนำไข่มุกไปซ่อนเอาไว้ในนั้น เพราะมีแต่ทำเช่นนี้จึงจะแน่ใจว่ามุกจะไม่ถูกมือดีโจรกรรมไปเป็นแน่ ทว่าเมื่อลงมือผ่าท้องตัวเอง ชายผู้นั้นก็สิ้นใจทันที
เมื่อเล่าจบ ถังไท่จงจึงกล่าวต่อไปว่าเรื่องเล่านี้เป็นเรื่องที่เราเคยได้ยินมา พวกท่านเล่า คิดว่าโลกนี้ยังมีคนเช่นนี้อยู่จริงหรือ?”
เหล่าข้าราชบริพารต่างพากันตอบว่า น่ากลัวมี
ถังไท่จงจึงกล่าวอีกว่า ทุกคนต่างทราบดีว่า เหตุการณ์ที่พ่อค้าวานิชย์รักถนอมไข่มุกมากกว่ารักถนอมชีวิตตนเองนั้น เป็นเรื่องชวนหัว น่าสมเพช แต่กลับมีขุนนางบางรายเนื่องเพราะกินสินบาท คาดสินบนจนทำร้ายทำลายถึงชีวิตของตัวเอง มีจักรพรรดิที่เสพสุขอย่างไร้ขีดจำกัดจนกระทั่งต้องสูญเสียประเทศชาติ เช่นนี้มิใช่เรื่องน่าขันเช่นเดียวกับเรื่องของพ่อค้าผู้นี้หรอกหรือ?”
ในตอนนั้น เว่ยเจิง ขุนนางและที่ปรึกษาคู่ใจขององค์ฮ่องเต้ถังไท่จง ได้กล่าวว่า เนื่องเพราะผู้ที่ถูกอำนาจเงินตราบังตา ละโมบโลภมาก จนกระทั่งลืมแม้แต่ชีวิตของตนเองนั้นมีอยู่จริง ในสมัยที่ขงจื๊อเป็นขุนนางอาวุโสแห่งแคว้นหลู่นั้น หลู่อายกง เจ้าครองแคว้นได้กล่าวกับขงจื๊อว่า มีคนป่วยเป็นโรคขี้ลืมบางจำพวก ย้ายบ้านไปแต่กลับลืมเลือนภรรยาขงจื๊อตอบว่า นั่นไม่นับว่าแปลก ยังมีคนที่เป็นโรคขี้ลืมหนักว่านั้น เจี๋ย, โจ้ว กระทั่งลืมเลือนแม้แต่ตัวตนของตนเอง” (เจี๋ย หมายถึง กษัตริย์ทรราชย์สมัยราชวงศ์เซี่ย ส่วน โจ้ว หมายถึง กษัตริย์ทรราชย์สมัยราชวงศ์ซาง ซึ่งทั้งสองต่างก็เป็นกษัตริย์องค์สุดท้าย ก่อนที่ราชวงศ์ของตนเองจะโดนล้มล้าง)
โพวฟู่ฉางจูหรือ ผ่าท้องซ่อนมุกใช้เพื่อเปรียบเปรยกับการเห็นแก่ทรัพย์สมบัติจนทำลายตนเอง หรือการเรียงลำดับความสำคัญของเรื่องต่าง ๆ กลับตาลปัตร
ที่มา http://baike.baidu.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น